เป็นหน้าตาของรุ่น - เป็นหน้าตาของรุ่น นิยาย เป็นหน้าตาของรุ่น : Dek-D.com - Writer

    เป็นหน้าตาของรุ่น

    บุรุษผอมร่างโย่ง เรียนเก่ง ขยัน ตระหนี่ มีจุดหมายปลายทาง คือทำงานในภาคเอกชน ด้านปศุสัตว์ ไต่เต้าจนเป็นผู้จัดการ หลังลาออกได้มาทำธุรกิจส่วนตัว จนประสบความสำเร็จ เป็นหน้าตาของเพื่อนร่วมรุ่น

    ผู้เข้าชมรวม

    13

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    13

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  17 ต.ค. 67 / 03:34 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                       เป็นหน้าตา…ของรุ่น

           คำรณหรือต้นฉายเดี่ยว มาสมัครเรียนที่เกษตรเจ้าคุณทหาร พร้อมๆกับเพื่อนร่วมรุ่น ที่มาจากต่างจังหวัด หลังจากประกาศผลสอบแล้ว  เขาเป็นหนึ่งในจำนวน 125 คน ที่ต้องมารายงานตัวเข้าเรียน เมื่อถึงวันจะต้องเข้าพักในหอพัก ผมได้พบกับเขาโดยบังเอิญที่ห้องเก็บวัสดุเครื่องนอน 

    “นายไปเลือกชุดเครื่องนอนก่อนเลย  ” ผมพูด และได้แสดงน้ำใจกับเพื่อนใหม่ ท่ี่เพิ่งพบกันเป็นวันแรก

         สำหรับนักศึกษาที่มาเข้าเรียนที่สถานศึกษาแห่งนี้ ทุกคนจะต้องเข้าที่หอพักภายในวิทยาลัยเท่านั้น 

    “นายชื่อไร  ”เพื่อนใหม่ ถามชื่อ

     “ขลุ่ย แล้ว..นายละ ”

    “ต้น ” เขาตอบ

     เราทักทายกันเพียงสั้นๆ เมื่อเขาเบิกชุดเครื่องนอนได้แล้ว ก็ได้แบก เดินมาตามเส้นทางที่เป็นถนนยางมะตอยของวิทยา -ลัย เพื่อนำเข้าสู่หอพัก ต้นหลิวข้างทางเวลานั้นกำลังออกดอกห้อยย้อยลงมา   ด้านขวามือที่เดินเข้าหอพักมีสระน้ำขนาดใหญ่มีบัวชูช่อสวยงาม เมื่อถึงคิว ผมนักการภารโรงบอกว่าฟูกหมด ขอให้เดินไปอีกห้องซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนัก  

    “เดินไปข้างหน้าอีกหน่อย ก็ถึงแล้ว  ”นักการภารโรงพูด

    "ครับ" ผมพูด

    “ผมเลือก สีฟ้าเข้มครับ  ”ผมพูด 

     “ไปแบกเข้าที่พักได้เลย  ” นักการพูด 

     เมื่อผมเทินฟูกบนศรีษะแล้ว นักการภารโรงได้สอดหมอนและผ้าปูไว้ในมือผม ผมเดินจากห้องเก็บวัสดุเครื่องนอน มายังหอพักหอหนึ่ง ใช้เวลาประมาณ  8 นาที เมื่อเข้ามาภายในห้องเห็นว่ามีคนมานั่งรออยู่ก่อนแล้วหนึ่งคน 

     “นาย..มาพักคู่กับเรามั้ย  ”ต้น ทักทาย

    “โอเค  ”ผมตอบ 

     “นาย…มาไงเหรอ ” เขาถาม 

     “พี่ชายขับรถยนต์มาส่ง ” ผมพูด 

     “นี่เราได้ข่าวว่า ที่นี่เขามีรับน้องใหม่  เรารู้สึกใจไม่ดีเลย ”ต้นพูด

                                                    *********************

       ขณะกำลังนั่งหารือกันเงียบๆกันสองคน ก็ได้ยินเสียงคนเดินมาเปืดประตูแล้วเข้ามาในห้องห้องพัก  ผมกับไอ้ต้นมองกลุ่มบุรุษที่เดินดิ่งเข้ามาหาเรา ทุกคนเหมือนจะมีอาการมึนเมาสุราอยู่บ้าง

      “เฮ้ย ?? มึงสองคน รายงานตัวหน่อยว่า ชื่อเรียง เสียงไร จบมาจากไหน  ” รุ่นพี่หนึ่งในห้า เอ่ยปาก 

      เราสองคนทำหน้าเลิ่กลั่ก  ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ เขาต้องการอะไร?? จากเรา

      “ก้มหน้าสิวะ  มองหน้ารุ่นพี่ ทำไม  "รุ่นพี่คนเดิมพูด

     “บอกให้รายงานตัว บอกสิวะ ว่าชื่ออะไร ไม่ต้องให้ถามซ้ำ”  รุ่นพี่อีกคนหนึ่งพูด

       ผมก้มหน้าตามคำสั่งของรุ่นพี่ เพราะรู้ว่านี่คือ การได้ลิ้มลองวิธีการรับน้องใหม่แล้ว

        ต้น…ดูจะมีความวิตกกังวลค่อนข้างมาก เขามีสีหน้าซีดเผือด เสียงสั่น ต้องก้มหน้าลงต่ำ  เพราะความกลัว เมื่อรุ่นพี่คนผิวคล้ำตวาด

      “รายงานตัวเลยเดี๋ยวนี้” รุ่นพี่ คนผิวคล้ำพูด 

      “ผม นายคำรณ….จบจากโรงเรียน  จากจังหวัดสุพรรณบุรี ครับ ”ต้น รายงานตัว

       รุ่นพี่ที่มีอาการมึนเมาเหล่านั้น ได้มานั่งรุมล้อมรอบตัวผมกับไอ้ต้น  ทั้งยังซักไซร้ไล่เลียงสอบถามนี่.โน่น นั่น กว่าครึ่งชั่วโมง เวลานั้นผมกับเพื่อนต้องอดทนที่จะถูกกดดัน ข่มขู่ เพราะนั่นคือกิจกรรมที่รุ่นพี่ๆได้กระทำสืบเนื่องมาช้านานแล้ว 

      “อดทนเอานะ(มึง) ยังไง ทุกอย่างก็ต้องจบลง ..ไม่ช้าก็เร็ว  "  ผมคิดในใจ 

      หลังจากที่รุ่นพี่ พอใจกับสิ่งที่พวกเขาได้รับการสนองตอบแล้ว ก็ออกจากห้องพักไป  มีรุ่นพี่บางคนได้เข้ามาปลอบใจไอ้ต้น

      “เฮ้ย?? ไม่มีอะไรหรอก อดทนสักพัก กิจกรรมรับน้องก็เลิกแล้ว ” รุ่นพี่พูด

      ต้นน้ำตาซึมออกมา  รุ่นพี่เข้าไปลูบหลังเบาๆ ให้กำลังใจ บอกให้เขาอดทน ต้นรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง

                                           ************************

            น้องใหม่ที่เข้ามาอยู่ในหอต่างก็ได้รับการรับน้องใหม่จากรุ่นพี่ปีสองทุกคน ในอาคารหอพักหอหนึ่งมีห้องพักใหญ่ 5 ห้อง   ค่ำคืนแรกที่พวกเราน้องใหม่เข้ามาอยู่หอพักทุกคนต่างตระหนกและนอนไม่หลับกันทั้งคืน  เพราะจะมีรุ่นพี่เข้ามาเยี่ยมเยียนเป็นระยะๆ ทุกคนม่อยหลับได้ ก็เมื่อผ่านช่วงสองยามไปแล้ว   พวกเราที่เป็นน้องใหม่ต้องปรับตัวอย่างปัจจุบันทันด่วน หลายๆคนต้องชวนกันไปเพื่ออาบน่ำแปรงฟันที่อ่างน้ำขนาดใหญ่ และปลดทุกข์ที่ห้องสุขาที่อยู่ใกล้ๆกัน เวลานั้นทุกคนที่เป็นรุ่นน้องต่างมีอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัวทุกคนอาทิ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน  สบู่   ยาสระผม ขันน้ำ  แป้งฝุ่นสำหรับทาโรยตัว

      “ไปอาบน้ำกันเถอะต้น  ”  ผมพูดชวนเพื่อนใหม่

      “นายไปเถอะ ว่ะ  "ต้นพูด

     “คงไม่มีอะไร แล้วล่ะ   ” ผมพูด

       ต้น เก็บตัวในห้องไม่ยอมออกมาชำระล้างร่างกาย  เขายังไม่กล้าพอที่จะออกมาประจันหน้ากับรุ่นพี่ๆ  เมื่อผมออกมาจากห้องพักก็เห็นรุ่นพี่ต่างก็ถือขันน้ำประจำตัวของใครของมัน บางคนเอาแปรงสีฟันที่บีบใส่ยาสีฟันวางไว้บนขันน้ำ แล้วเดินถือมายังอ่างอาบน้ำ ยามเช้านี้…ไม่มีรุ่นพี่คนไหนที่จะแสดงอาการเกรี้ยวกราดเหมือนเมื่อคืนนี้สักคน  ทุกคนมีใบหน้ายิ้มแย้มและสร้างมิตรภาพที่ดี

      “เป็นไงบ้างน้อง นอนหลับกันมั๊ย  " รุ่นพี่คนหนึ่งพูดขึ้น

      “ไม่ค่อยจะหลับ ครับ”น้องใหม่ พูดขึ้น

      “อดทนสักระยะนะ  ไม่มีอะไรหรอก พวกพี่ก็ผ่านเรื่องอย่างนี้มาก่อนทุกคน ” รุ่นพี่พูด

      จากคำพูดประโยคนี้  ทำให้ผมและเพื่อนๆที่เป็นน้องใหม่รู้สึกสบายใจขึ้น ที่อ่างน้ำขนาดใหญ่มีน้ำบรรจุปริ่มๆ ขอบบ่อ รุ่นพี่บางคนอาบน้ำด้วยการเปลือยกายทั้งหมด บางคนสวมใส่กางเกงในตัวเดียว เท่าที่ผมสังกตุดูรุ่นน้องที่มาใหม่ค่อนข้างเคอะเขินกับการอาบน้ำรวมแบบกลุ่มใหญ่  

      “เฮ้ย??  พวกเอ็ง ไม่ต้องอายหรอก  เราเป็นผู้ชายมันก็เหมือนๆ กันแหละวะ  ” รุ่นพี่พูด

      “ก็จริงหรอก แต่เราไม่เคยนี่” ผมคิดในใจ 

      นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกับเพื่อนๆ ได้มีโอกาสสัมผัสและมีประสบการณ์แปลกๆที่ไม่เคยเจอมาก่อน  หลังจากผมเสร็จกิจจากการอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว จึงเดินกลับเข้าห้องพัก เมื่อผมเข้ามาในห้องพักแล้ว จึงนั่งคุยกับไอ้ต้น เช้านี้เป็นวันแรกที่พวกเราจะเริ่มเข้าเรียนขณะนั่งอยู่นั้น ต้นได้ยกแขนซ้ายที่สวมนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา

      “อีก 10 นาที จะแปดโมงแล้ว  ล่ะ”ต้นพูด

      “ที่โรงอาหาร เขาทำอาหารเลี้ยงนักศึกษา ทุกคนนี่  ” ผมพูด

     “เราไม่กล้าเข้าไปว่ะ ”ต้นพูด

     “เฮ้ย .. ใครๆ เขาก็ไปกินกันนี่  จะไปกลัวอะไรเล่า"ผมพูด

      ผมพยายามจะดึงแขนไอ้ต้นให้ไปโรงอาหาร จังหวะเดียวกันนั้นมีรุ่นพี่อาวุโส ได้เข้ามาสำรวจว่ามีใครในห้องตกหล่นบ้างจะได้ชักชวนให้ไปกินข้าวด้วยกัน

      “ไปๆ ไอ้น้อง ที่โรงอาหารเขาทำอาหารเลี้ยงทั้งสามมื้อ ”รุ่นพี่พูด

        รุ่นพี่คนนี้ได้บอกชื่อตนเองว่าชื่อ "สมเจตน์  เขาเป็นรุ่นพี่ ที่เคยเรียนหนังสือมาตั้งแต่วิทยาลัยแห่งนี้ เป็นเพียงโรงเรียนเกษตรกรรมที่จังหวัดนครปฐม อายุของเขา ณ.เวลานั้นคงเกือบจะสามสิบปีแล้ว ในขณะที่พวกเราอายุเพิ่งย่างเข้า 18 ปี ท่าทางเขาเป็นคนใจดี แต่เสียงค่อนข้างดัง 

      “ไม่ต้องกลัวรุ่นพี่หรอก เอ็งมากับพี่รับรองปลอดภัย แน่นอน”พี่สมเจตต์พูด

      จากนั้นผมกับไอ้ต้น จึงเดินไปที่โรงอาหาร เมื่อมาถึงทางเข้าโรงอาหาร  พี่สมเจตต์ ได้เดินเข้าทางลัดด้านหลังโรงอาหาร ผมกับไอ้ต้นกำลังจะเดินตามไป แต่ได้ถูกรุ่นพี่ปีสอง ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นสั่งเบรค ห้ามมิให้มาทางนี้

      “เอ็ง..ไปเข้าด้านหน้าโน่น ” รุ่นพี่ปีสองพูด

      การที่เพิ่งมาเป็นน้องใหม่และไม่ชินกับสังคม ประเพณี สถานที่ จึงทำให้พวกเราไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไร  เมื่อรุ่นพี่บอกให้เข้าโรงอาหารด้านหน้า  เราจึงต้องเดินตรงไปอีก 20 เมตร จึงเห็นสะพานที่เป็นทางเชื่อมต่อเข้าไปโรงอาหาร  เมื่อเข้าไปแล้วรุ่นพี่ที่อาวุโสต่างมาคอยให้บริการ ดึงไปนั่งร่วมวงอาหาร 

    “มานั่งโต๊ะพี่  นี่”  รุ่นพี่ ที่นั่งก่อนหน้าพูด

    ผมกับไอ้ต้น เข้าไปนั่งกินข้าวต้มกุ๊ยกับถั่วลิสงคั่ว -ผักกาดดองจนอิ่ม จากนั้นจึงเดินกลับเข้าหอ วันนี้เป็นวันแรกที่เราต้องมาลงทะเบียน  แน่นอนว่าความโกลาหลของพวกเราย่อมเกิด เพราะทุกคนต้องเดินเที่ยวตามหาอาจารย์ผู้สอนเพื่อลงชื่อในบัตรลงทะเบียน 

    “เฮ้ย ขลุ่ย นายได้ลายเซ็นต์ ครบหรือยัง  ”ไอ้ต้นถาม

     “ยัง  เหลืออีกคน  แล้วนายล่ะ ”ผมถามกลับ

    “ครบแล้ว  นายยังขาดใคร  ??หรือ”ไอ้ต้นพูด

    “อาจารย์เนาวรัตน์  นั่งตรงไหน”ผมพูด

    “ที่ห้องเคมี  ”ไอ้ต้นพูด

                                               **********************

      กว่าเราจะเริ่มได้เรียนกันจริงๆ ก็เข้าสู่่วันที่สาม  นักศึกษาใหม่ต่างปรับตัวเข้าหากันเพื่อความเป็นปึกแผ่น   ทุกๆวันหลังจากกินข้าวมื้อเย็นและเมื่อรุ่นน้องได้อาบน้ำชำระร่างกายแล้ว  รุ่นพี่จะเคาะระฆังเรียกรุ่นน้อง ในเวลา 18.30 น เพื่อซ้อมร้องเพลงเชียร์ วันละสองถึงสามชั่วโมง ยกเว้นวันเสาร์-อาทิตย์  ในกิจกรรมซ้อมร้องเพลงเชียร์น้องใหม่ทุกคนต่างอยู่ในภาวะกดดันไม่น้อย เพราะรุ่นพี่มีการทดสอบความอดทนในทุกๆด้าน หลายๆครั้งพวกเขาได้พยายามลดภาวะความเครียดให้รุ่นน้องได้ผ่อนคลายด้วยการให้ออกมาทำการแสดง  เล่นเกมส์และให้รางวัลเป็นขนมและลูกอม 

    “ผมนายคำรณ  สุทินกรกาญจน์ ชื่อเล่นว่า ต้น จบจากโรงเรียน… อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ครับ ”  ไอ้ต้น รายงานตัวที่พื้นลานโดม ซึ่งใช้เป็นที่ซ้อมร้องเพลงและทำกิจกรรมต่างๆ

     คำรณ มีบุคลิกที่แปลกไปจากเพื่อนๆ คือผอมสูงกว่า 175 เซนติเมตร ผิวดำแดง เสียงแหลมเล็ก ทั้งยังมีสำเนียงเหน่อตามถิ่นอาศัยของคนเมืองสุพรรณ  อันเป็นเอกลักษณ์  เขามักจะถูกรุ่นพี่แกล้งเสมอ หลายครั้งเขาต้องร่ำไห้เพราะถูกลงโทษอย่างหนัก การมีลักษณะเด่นของเขาทั้งเรื่องรูปร่าง น้ำเสียง ทำให้ถูกคัดให้เป็นหน่วยคอมแบด คือเป็นทัพหน้าในการลุยงานการพัฒนาวิทยาลัยเช่นการขนเอาวัชพืชอย่างผักตบชวา จอกแหนขึ้นจากน้ำ ที่เป็นงานค่อนข้างหนัก  ซึ่งภายในวิทยาลัยที่ผมเรียนมีบึงน้ำที่ใหญ่ ล้อมรอบอาคารเรียนและทุกหอพัก

      “เดินหน้าเข้าไปถอนกอหญ้ากก กอนั้นเลย  ไอ้น้อง”รุ่นพี่ตะโกนสั่งงาน   

        ต้น เดินหน้าแล้วก้มต่ำลงเพื่อจะถอนต้นกก  หลังจากเขาคว้ากอหญ้ากกได้ก็ลงมือถอนอย่างสุดแรง  แต่เขาก็ต้องสะดุ้ง เพราะสิ่งที่เขาจับมันมีความลื่นและมีการเคลื่อไหวได้

      “ฉิบหาย งูเห่า ”  ต้น ร้องเสียงหลง ขณะเดียวกัน เขาก็ต้องรีบโยนมันให้หลุดจากมือ

      “เฮ้ย ไอ้พวกคนที่อยู่บนบก รับเอาจอบจัดการมันเลย” รุ่นพี่สั่งการ

     “เกือบแล้วมั้ย กู ” เขาพูดด้วยสีหน้าตกใจ

     เป็นปกติที่พื้นที่ในท้องทุ่งลาดกระบีงจะมีงูเห่าชุกชุมค่อนข้างมาก  พวกเราจึงมักพบเจอแทบทุกวันขณะต้องลงไปฝึกงานในแปลงผัก  แปลงพืชไร่และ ทุ่งนา  

                                    ****************************************

             กว่าเราจะเสร็จกิจกรรมน้องใหม่ได้ ต้องใช้เวลาเกือบสองเดือน วันเวลาที่ผ่านมาแต่ละนาที มันช่างทุกทรมานกับน้องใหม่ทุกคน เมื่อเสร็จจากกิจกรรมรับน้องใหม่แล้ว น้องๆ ทุกคนจึงโล่งอกและมีอิสระในการไปไหนมาไหน  คำรณ เป็นคนเรียนค่อนข้างเก่งเขามีความขยัน และมักซุ่มอ่านหนังสือช่วงที่เพื่อนๆ นอนหลับ เขาเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ไม่ยุ่งกับอบายมุขทุกอย่าง   นับแต่เรียนชั้นปวช. ปวส. และชั้นปริญญาตรี เขาได้เกรดเฉลี่ยเกินกว่า 3.5   นอกจากภาคทฤษฎีแล้วภาคปฎิบัติเขาก็ยังมีทักษะในการเลี้ยงสุกรได้อย่างดี   คำรณ(ต้น) เลือกเรียนในสาขาสัตวศาตร์ ช่วงเรียนปีสุดท้ายเขาได้ไปฝึกงานที่สถาบันการเลี้ยงสุกรแห่งชาติ  

    “น้องมาทำงานที่สถาบันกับพี่ๆ มั้ย  ” เจ้าหน้าที่พูด

    “ผมอยากทำงานในบริษัทครับพี่”  คำรณพูด

        เมื่อจบชั้นปริญญาตรีแล้ว คำรณได้ไปสมัครสอบเข้าทำงานในบริษัทใหญ่เกี่ยวกับกิจการปศุสตว์ ที่มีชื่อระดับประเทศ เขาได้เริ่มงานและไต่เต้าจากตำแหน่งพนักงานด้านปศุสัตว์ จนมาเป็นรองผู้จัดการฟาร์ม และขึ้นมาเป็นผู้จัดการฟาร์ม คำรณ ได้สมรสกับรุ่นน้องที่เรียนที่เดียวกันมา มีบุตรสาวเป็นทายาทเพียงคนเดียว  

      “ไอ้เหี้ยต้น นิสัย..แม่งไม่เคยเปลี่ยนเลย ตอนสมัยเรียนเวลาไปกินข้าวกับกลุ่มเพื่อนๆ มึงนี่ไม่เคยควักเงินออกมาช่วยเพื่อนเลยสักครั้ง  ”ขงเบ้ง  พูด ในงานสถาปนาสถาบันกับเพื่อนๆ 

     ขงเบ้ง เพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนสาขาสัตวศาสตร์ และเรียนได้เกียรตินิยมเช่นเดียวกับคำรณ แต่นิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    “ไอ้สัตว์. เบ้ง มึงนินทากูเหรอ   " ต้น พูดกับเพื่อนร่วมรุ่น

      ทุกคนในรุ่นรู้ดีว่า ไอ้ต้น เป็นคนที่ตระหนี่ ถี่เหนียว น้อยครั้งนักที่เขาจะมาร่วมสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนฝูง  ตั้งแต่ เรียนจบกันมาตั้งแต่ 40 ปีที่แล้วที่พวกเราไม่เคยพบปะกันเลยและผมก็ไม่เคยทราบข่าวจากเขาเลย จนเมื่อครั้งล่าสุดที่รุ่นพี่ๆ จัดงานมุฑิตาให้กับอาจารย์ที่เคยประสิทธิประสาทความรู้ที่เขาใหญ่ เมื่อสองปีก่อนผมจึงพบกับเขาแบบสุดประหลาดใจยิ่ง

    “เฮ้ย ไอ้คนนี้ มันถ้า..จะเรียนรุ่นเดียวกับเรา เห็นมันแอบมองเราอยู่นาน ”  ผมคิด  

      ในฐานะที่ผมเป็นคนที่ดูแลงานด้านความบันเทิง จึงต้องเดินไปทั่วบริเวณงาน เพื่อตรวจฟังระบบเครื่องเสียงให้มึคุณภาพ เมื่อเดินเข้าใกล้ชายคนนั้น 

    “มึงไอ้ขลุ่ย หรือเปล่าวะ  ” ชายคนที่ผมคุ้นหน้าพูดขึ้น

    “ใช่ แล้วมึง….???ไอ้ต้น  ใช่เปล่า”

    “ใช่  ไอัขลุ่ยมึง มานั่งคุยกับกูหน่อยสิ    " ไอ้ต้นพูด 

    “ไม่เจอกันมากี่ปีแล้ว วะ” ผมถาม

    “ตั้งแต่เรียนจบ  ”

    “กูได้ข่าวว่ามึง ทำงานบริษัท และลาออกมาทำกิจการปศุสัตว์ จนใหญ่โตมโหฬาร ” ผมพูด

    “ก็ไม่ใหญ่ แค่ธุรกิจร้อยกว่าล้านเอง  ”ไอ้ต้นพูด

     รูปลักษณ์เขาจากที่ผอม ปัจจุบันอ้วนพุงพุ้ย สมกับที่เพื่อนๆ เรียกเขาว่าไอ้เสี่ยต้น  ผมนั่งคุยกับเขาได้ประมาณ 5 นาที หลังจากชนแก้วกันสองครั้ง ก็มาทำหน้าที่เป็นโฆษกและคุมเครื่องเสียง คิดว่าเช้าวันรุ่งขึ้นจะได้คุยกับเสี่ยต้นอย่างจุใจ แต่ผิดคลาด เขาได้เดินทางกลับตั้งแต่ตอนตีสี่  

                                              ***************************

                        ในคินวันงานมุฑิตาอาจารย์ระหว่างที่ผมได้สนทนากับไอ้ต้นช่วงสั้นๆ

      “กูแต่งงานกับไอ้จุ๋ม รุ่นน้องเราสองปี  ได้ลูกสาวคนเดียว  ”

      “จำได้ ไอ้จุ๋มเด็กลพบุรี  แล้วลูกมึงเรียนจบอะไร ทำงานหรือยัง”

     “ แพทย์ศาสตร์  เคยทำงานอยู่พักนึง กูให้ลาออกมาช่วยงานกู บริหารงานฟาร์ม ”ไอ้ต้นพูด

    “เสียดายบุคลากรของชาติ ไอ้ห่า..กว่าจะผลิตบุคลากรชั้นมันสมองได้”ผมพูด

     “กูไม่สนใจหรอก หมอมีถมถืดมากไป ที่จะทำหน้าที่รักษาคน ” ต้นพูด

     ผมหยุดนิ่ง.ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง  ในใจ ไม่ชอบแนวคิดของเขาที่มีทัศนคติใจแคบ วันนี้ไอ้ต้นมีกิจการฟาร์มส่วนตัวหลายจังหวัด และเข้าหุ้นกับบริษัทใหญ่ในกรุงเทพ ผมทราบว่าเขาได้รับรุ่นพี่อย่างพี่สมเจตต์และเพื่อนๆ เข้าไปช่วยบริหารงานหลายคน เพื่อดูแลงานในจังหวัดกาญจนบุรี กำแพงเพชร นครปฐมฯลฯ

      “วันงานมุฑิตาจิต ไอ้เป็ด อภินันทนาการวัวหัน 1 ตัว แล้วมึงช่วยหมูหันกี่ตัวหรือเพื่อน  ”ผมกระเซ้าเพื่อนในฐานะนักธุรกิจใหญ่

      “ไม่ได้ช่วยสักตัว  กูช่วยสมทบเงินกองทุนสองพัน"  ต้นพูด

      นับแต่ผมพบกับไอ้ต้นในวันมุฑิตาจิต เขาได้ขอเบอร์โทรศัพท์ผมไว้  หลังจากนั้นไม่นานเขาได้โทรศัพท์ มาหาผม

     “เฮ้ย..ไอ้ขลุ่ย ที่ลำปาง มีร้านขายอาหารตรงไหน อร่อยๆและถูกๆด้วยวะ กูจะแวะกินสักหน่อย”  ต้นพูด

     “กว่า 20 ปีแล้ว ที่กูไม่ได้ออกไปสัมผัสกับร้านอาหารในเมืองเลย แนะนำให้มึงไม่ถูกหรอก ว่ะ"ผมพูด

     “กูกินเสร็จ ก็จะไปค้างที่เชียงใหม่ คุยเรื่องธุรกิจกับพรรคพวกซะหน่อย  ยังไงมึงช่วยดูพื้นที่แถวลำปางให้กูหน่อยสิ   "

      “สักกี่ไร่ละ   ”ผมถาม

      “มีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 50ไร่ ใกล้แหล่งน้ำ ใกล้เส้นทางคมนาคม  ไม่แพงมาก นะมึง”

     “ได้ เดี๋ยวกูจัดการ  ว่าแต่มึงจะซื้อไปทำอะไรมากมาย”

     “ธุรกิจด้านปศุสัตว์  ”

      ระยะหลังๆ ไอ้ต้นกำลังขยายกิจการเพิ่มอีกหลายจังหวัดภาคเหนือ กว่าสิบครั้งที่เขาโทรศัพท์มาหาผม แต่มักจะคุยเรื่องธุระที่เขาจะได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว ปลายทางที่เขาแวะส่วนมากคือที่เชียงใหม่ 

      “ยังไง กูจะแวะหามึง สักวัน”  ต้นพูดบ่อยๆเวลาที่โทรศัพท์มาหาผม

        ครั้งที่พบกับไอ้ต้น งานวันทุฑิตาที่เขาใหญ่ สภาพของเศรษฐีที่แต่งตัวซอมซ่อกว่าทุกคนในงาน จากการประเมินความร่ำรวยของเขาในวันที่พบ  ผมคิดว่าไอ้หมอนี่ อย่างเก่งคงทำธุรกิจระดับหลับสิบล้านบาท แต่…พอพอผมลองตรวจสอบกับสำนักงานสรรพากรและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่เขายื่นแบบลงทุนจะมีเงินเป็นพันๆล้านบาท 

          แม้เขาจะได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีขี้เหนียว คือไม่ค่อยสปอร์ตเหมือนคนรวยคนอื่นๆ แต่ก็ยังดีที่ยังเป็นหน้าเป็นตาให้กับรุ่นของพวกเราได้เทียบเคียงกับรุ่นน้องอย่างไอ้บิ๊ก เศรษฐีที่ร่ำรวยที่ดิน จากมรดกของบรรพบุรุษ (อ่านผ้าขี้ริ้วห่อทอง) ระหว่างความรวยของคนทั้งสอง หากวัดถึงความรู้ความสามารถ ผมยังรู้สึกภูมิใจกับไอ้ต้นที่มีฐานะความร่ำรวยที่มาจากความขยันและใช้ฝีมือในการบริหารงานล้วนๆ  

                         สิ่งที่อยากถาม…ที่มึงบอกว่า จะมาหากูที่ลำปาง  ว่าแต่ชาตินี้ หรือชาติหน้าวะไอ้ต้น//??

                                                         ขลุ่ย  บ้านข่อย

                                                         (๑๗-๑๐-๖๗)

    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×